Photogenic Technology : ตาหุ่นยนต์อัจฉริยะเพื่อรักษาความปลอดภัย
โดย ดร. ชิต เหล่าวัฒนา
วิทยาการด้าน “ตาหุ่นยนต์” ส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องปฏิบัติการ ไม่มีผลกระทบมากนักในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่เทคโนโลยีพื้นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบตาหุ่นยนต์อย่าง “กล้องวงจรปิด CCTV” กลับเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ อย่างเช่น กรุงเทพมหานคร ที่ปัจจุบันมีการติดตั้งกล้อง CCTV จำนวนหลายพันเครื่องเพื่อเฝ้าระวังเหตุร้าย
ที่ผมบอกว่ากล้อง CCTV มีหน้าที่ในการ “เฝ้าระวัง” นั้น ก็เพราะเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บังคับการสามารถสอดส่องดูแลสถานที่เสี่ยงภัยผ่าน “ตาวิเศษ” เหล่านี้ได้ โดยสามารถโยกย้ายไปดูกล้องตัวไหนก็ได้ในตำแหน่งที่ต้องการและใช้ระบบอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีมัลติมีเดียไร้สายความเร็วสูงเชื่อมต่อการทำงานเข้ากับคอมพิวเตอร์พกพาส่วนตัว (PDA) หรือระบบคอมพิวเตอร์ประเภทอื่นๆ ได้หลายชนิด คุณภาพของกล้อง CCTV ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง สามารถซูมภาพระยะไกลได้กว่า 30 เมตร เห็นได้แม้กระทั่งหมายเลขทะเบียนรถยนต์ที่ต้องสงสัย ดังนั้นหากมีระบบเฝ้าระวังนี้ติดตั้งอยู่โดยทั่วไปแล้ว คน(คิด)ร้ายก็จะต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะการกระทำลับๆ ล่อๆ อาจตกอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บังคับการ และพวกเขาก็มักจะถูกจับกุมก่อนลงมือเสมอ
นอกจากนั้น ระบบดังกล่าวยังมีประโยชน์หลังจากเหตุร้ายได้เกิดขึ้นแล้วด้วย เพราะหากมีการบันทึกภาพเก็บไว้ เจ้าหน้าที่ก็สามารถนำภาพเหล่านั้นมาวิเคราะห์หาสาเหตุหรือผู้กระทำความผิดได้ โดยในกรณีนี้อาจต้องเพิ่มเติมเทคนิคการตรวจจับความเคลื่อนไหวอัตโนมัติ (Motion Detector) การตรวจสอบค่าบิทของแต่ละอิมเมจว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ฯลฯ (หากหน่วยงานใดของไทยสนใจจะใช้อย่าเพิ่งรีบเสียเงินซื้อจากต่างประเทศนะครับ โปรดติดต่อนักวิจัย อาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผมมั่นใจว่าคนไทยออกแบบและทำใช้เองได้ดีครับ)
เทคโนโลยีของกล้อง CCTV ในปัจจุบันนั้นได้ผนวกเอาความสามารถทางปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เข้าไปด้วยแล้ว จุดประสงค์แรกเริ่มคือเพื่อป้องกันการวางระเบิดจากกระเป๋าพกพา (สนามบินชั้นนำทั่วโลกจะมีระบบนี้ติดตั้งใช้งานอยู่) โดยฟังก์ชั่นสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการจดจำข้อมูลภาพ (Cognitive Module) ที่สามารถบอกได้ว่า “ผู้ใดถือสัมภาระมาแล้วจงใจทิ้งไว้ในระยะที่เกินกำหนด” ซึ่งระบบก็จะทำการเตือนทันที พร้อมทั้งระบุตำแหน่งของผู้ต้องสงสัย ณ เวลาต่างๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงสามารถติดตามผู้ต้องสงสัยได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (หากระบบเชื่อมต่อถึงกันผ่านเครือข่ายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น) ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน (Carnegie Mellon) สหรัฐอเมริกา ยังได้พัฒนาระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition) ที่สามารถระบุชื่อแซ่ของบุคคลได้ในทันที (ในกรณีที่มีการปลอมตัว ระบบจะบอกได้แม้กระทั่งความเป็นไปได้ว่าบุคคลคนนั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายใครบ้าง)
ในยุคต้นของการพัฒนาระบบจดจำใบหน้านี้ ศาสตราจารย์ ทาเคโอะ คานาเดะ อาจารย์ที่ถ่ายทอดความรู้ด้านหุ่นยนต์ให้แก่ผมท่านหนึ่ง ได้ริเริ่มพัฒนาโปรแกรมเพื่อที่จะระบุและจดจำใบหน้าของผู้คน งานของท่านอาจารย์คาเนเดะได้ขยายผลต่อมาในสาขาของ Biometrics ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระบุตัวตนผ่านลักษณะเฉพาะของมนุษย์ เช่น ใบหน้า ตา นิ้วมือ ลายมือ และเสียงเทคโนโลยีเหล่านี้หลายคนคงจำได้จากภาพยนตร์อย่าง James Bond 007 หรือ Minority Report แต่คุณอาจยังไม่รู้ว่าบัดนี้มันได้เกิดขึ้นเป็นจริงแล้วผ่านงานวิจัยและพัฒนาของอาจารย์ มาริโอส์ ซาฟวิเดส (Research Professor Marios Savvides) ระบบกล้อง Photogenic ที่อาจารย์ มาริโอส์ ซาฟวิเดส พัฒนาขึ้นนี้สามารถตรวจสอบหาคนร้ายที่แฝงตัวมาในชุมชนได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นจะก้มหัวสวมหมวก หรือใส่แว่นตาก็ตาม นอกจากนั้น กล้องยังมีชุด parameter ที่สามารถระบุเพศของเป้าหมาย พร้อมทั้งสามารถ match หน้าตาของเป้าหมายเข้ากับฐานข้อมูลของ FBI ได้ในทันทีด้วย
ที่สหรัฐอเมริกา อาจารย์ มาริโอส์ ซาฟวิเดส ได้รับทุนจัดตั้งห้องวิจัย Cylab Biometrics ที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน จาก U.S. Federal Agency เป็นจำนวนถึง 3 ล้านเหรียณสหรัฐ และอีก 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับงานวิจัยด้าน Photogenic โดยเฉพาะ
ท่านผู้อ่านสามารถส่งข้อคิดเห็น / ข้อเสนอแนะมาที่ผู้เขียนได้ที่ djitt@fibo.kmutt.ac.th