สมาร์ทโฟนอักษรเบรลล์เครื่องแรกของโลก

ในยุคที่สมาร์ทโฟนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์ เพราะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้สารพัด ไม่ว่าจะเป็นด้านการติดต่อสื่อสาร เพื่อความบันเทิง หรือใช้ค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ จากอินเทอร์เน็ตได้แบบรวดเร็วทันใจ แต่ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่เคยได้สัมผัสถึงประโยชน์ของสมาร์ทโฟนเหล่านี้เลย

จากผลสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าปัจจุบันมีคนตาบอดกว่า 39 ล้านคนทั่วโลก ทำให้ Sumit Dagar นักออกแบบด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ บริษัท Kriyate ประเทศอินเดีย ได้คิดค้นและพัฒนาสมาร์ทโฟนอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอดขึ้น เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟนเหมือนอย่างเราๆ โดยได้รับความช่วยเหลือจากสถาบัน IIT-Delhi และ LV Prasad Eye Institute ในกรุงไฮเดอราบาด


 
แม้ปัจจุบันสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นสามารถรองรับระบบสั่งงานด้วยเสียงได้ ซึ่งนับว่ามีประโยชน์ต่อผู้มีปัญหาทางสายตาในระดับหนึ่ง แต่ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ เช่น การรับ-ส่งข้อความ SMS หรืออีเมล เป็นต้น Dagar จึงได้ต่อยอดโปรเจ็กต์นี้จากวิทยานิพนธ์สมัยปริญญาโท จนได้รับรางวัลจากเวที Rolex Awards for Enterprise พร้อมเงินทุนสนับสนุนอีก 50,000 เหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 ซึ่งเขานำมาใช้ในการผลิตเครื่องต้นแบบ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพครบครันใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนสำหรับคนสายตาปกติให้มากที่สุด


 
สมาร์ทโฟนดังกล่าวใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Piezoelectric (เพียโซอิเล็กทริก) ในการผลิตหน้าจอทัชสกรีน ซึ่งจะแปลงผลการสัมผัสออกมาเป็นตัวอักษรเบรลล์ที่ให้ความรู้สึกนูนขึ้นมาจากหน้าจอ ทำให้คนที่มองไม่เห็นสามารถใช้สมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย พร้อมฟังก์ชันที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Color Identification ที่เมื่อนำสมาร์ทโฟนไปสแกนจะสามารถบอกได้ว่าวัตถุตรงหน้าเป็นสีอะไร แม้ผู้ใช้จะมองไม่เห็น และระบบสแกนภาพที่แปลงข้อความหรือตัวเลขให้เป็นอักษรเบรลล์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้คนตาบอดสามารถอ่านป้ายต่างๆ ข้างทางได้เช่นเดียวกับคนปกติ พร้อมแป้นพิมพ์อักษรเบรลล์และฟังก์ชันทั่วไปในสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม สมาร์ทโฟนที่ว่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเพื่อให้มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดก่อนจะออกสู่ท้องตลาด รวมถึงพัฒนาแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า SimplEye ที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปฯ ยอดฮิตอื่นๆ พร้อมแปลงให้เป็นอักษรเบรลล์ได้ สามารถดาวน์โหลดเพื่อทดลองใช้ผ่านระบบแอนดรอยด์ได้เร็วๆ นี้



ข้อมูลและภาพจาก: kriyate.com, forbes.com, dw.de

บทความนี้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2557