
Digital Manufacturing : ธุรกิจศตวรรษที่ 21 กับระบบการผลิตแห่งอนาคต
เรื่อง : วิสาข์ สอตระกูล

แน่นอนว่า ผู้ประกอบการทุกรายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างก็มองหา “ประตูวิเศษ” ที่จะเปิดไปสู่ถนนแห่งความสำเร็จอันเรืองรองกันทั้งนั้น ...ประตูบานไหนล่ะที่จะนำทางพวกเขาไปสู่วิธีการเพิ่มผลิต? …แล้วจะเป็นไปได้มั้ยที่ต้นทุนจะไม่ต้องเพิ่มตามไปด้วย? จนถึงทุกวันนี้เชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะได้พบกับประตูวิเศษบานนั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่หากันง่ายๆ...นอกจากคุณจะมีเซ้นส์ที่ดีเยี่ยมในทางธุรกิจจริงๆ
แต่ถึงกระนั้นเหล่าผู้ประกอบการเดินดินทั้งหลายก็อย่าเพิ่งถอดใจกันไปก่อน เพราะนาทีนี้โลกการผลิตของเราเพิ่งจะได้ค้นพบกับ “กุญแจดอกสำคัญ” ที่จะเปิดประตูบานไหนก็ได้ไปสู่ความสำเร็จข้างต้น (เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย + รักษาระดับต้นทุนด้วย)
วิธีการอันชาญฉลาดที่ว่านี้เราเรียกขานมันว่า “Digital Manufacturing” ค่ะ
คำว่า Digital Manufacturing นั้นเป็นสิ่งที่หลายคนร่ำลือและถกเถียงกันมาพักใหญ่แล้ว บางสายก็ยกมันเป็นประเด็นทาง CSR มองว่าเป็น กล วิธีที่ธุรกิจขนาดใหญ่จะช่วยดูแลสภาพแวดล้อมได้ หรือบางสายก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของความยั่งยืนทางธุรกิจ สามารถจะโอบอุ้มผลกำไรและวิถีการทำงานของเราในอนาคตได้ ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ คำๆ นี้ได้เข้ามามีบทบาทต่อความคิดและทำให้ธุรกิจสมัยใหม่เริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านแล้ว ดังนั้นมันคงไม่ใช่แค่ “ คำคม ” ที่นักการตลาดยกมาพูดกันเพื่อความดูดีเป็นแน่
Digital Manufacturing คืออะไร
ถ้าจะให้นิยามอย่างสั้นๆ การผลิตแบบ Digital Manufacturing ก็คือกระบวนการผลิตที่นำเอา “เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์” เข้ามามีบทบาทในระดับสูง ส่งผลให้การผลิตสินค้ามีความเที่ยงตรงแม่นยำมากขึ้น (ทั้งในเชิงรูปแบบและจำนวน) โดยพึ่งพาแรงงานมนุษย์น้อยลง
ในปัจจุบันระบบการผลิตเช่นนี้มีชื่อเรียกหลากหลาย อาทิเช่น Direct Digital Manufacturing, Rapid Manufacturing, Instant Manufacturing, หรือ On-demand Manufacturing ฯลฯ ซึ่งเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตลักษณะนี้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบและพัฒนาสินค้าต้นแบบ (Prototype) ได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งยังสามารถวางแผนการผลิตในโรงงานได้เสร็จสรรพตั้งแต่ต้นจนจบ แถมมีความพร้อมที่ปรับเปลี่ยนการผลิตส่วนไหนก็ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
การพัฒนา และผลิต สินค้าด้วยระบบ Digital Manufacturing นี้ ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการบิน การต่อเรือ การผลิตรถยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจพลังงาน แฟชั่น สินค้าไฮเทค สินค้าอุตสาหกรรม ธุรกิจการแพทย์ การทหาร บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ

Digital Manufacturing ดีกับธุรกิจอย่างไร
อย่างที่เกริ่นไปก่อนนี้แล้วว่า Digital Manufacturing คือกระบวนการผลิตที่จะเป็นมิตรกับหลายๆ สิ่ง แน่นอนว่ามันเป็นทางเดินที่จะนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ความยั่งยืนในด้านสภาวะแวดล้อมและแรงงาน แต่กับด้านอื่นๆ ล่ะ? มันยังมีผลดีในแง่อื่นใดอีกหรือไม่?
ทุกวันนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังมีแนวโน้มที่จะดำดิ่งลงเรื่อยๆ มันก้าวเดินไปในทิศทางที่หลายคนวิตกกังวล โดยเฉพาะกับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่โรงงานและบริษัทหลายแห่งต้องเริ่มใช้นโยบายเลิกจ้าง เราได้ยินข่าวเลย์ออฟคนงานกันหนาหู และไม่ใช่แค่ในหลักสิบหรือหลักร้อยเท่านั้น แต่ทำกันในระดับหลักพันนู่นทีเดียว นอกจากนั้นอุตสาหกรรมการรับจ้างผลิต ( OEM) ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ทุกวันนี้ก็กำลังเข้าตาจนกัน สุดๆ ถ้าผู้ประกอบการดิ้นรนพัฒนาตัวเองสู่ระดับ ODM หรือ OBM ไม่ได้ ก็มีหวังต้องทยอยปิดกิจการไปเรื่อยๆ แน่
...คำถามเดียวที่ผู้ประกอบการทั่วโลกมีวนเวียนอยู่ในหัวตอนนี้ก็คือ “แล้วเราจะคงศักยภาพการแข่งขันไว้ได้ยังไง ? ”
คำตอบเรื่อง นี้ ก็วนกลับมาที่ Digital Manufacturing ได้ อีกเช่นกัน คุณเชื่อหรือไม่ว่าการผลิตที่จะช่วยรักษาสภาวะแวดล้อมนี้ สุดท้ายแล้วมันก็จะช่วยรักษาลมหายใจของธุรกิจไว้ได้ด้วย เพราะอันที่จริงแล้ว Digital Manufacturing ไม่เพียงแต่จะช่วยลดปริมาณขยะ ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานส่วนเกิน หรือดีต่อสภาพแวดล้อมการทำงานของคนงานเท่านั้น แต่สาระสำคัญของมันก็คือมันสามารถเพิ่มประสิทธิผลทางการผลิต และเร่ง Return On Investment (ROI) ให้สูงขึ้นไปพร้อมๆ กันด้วย (เมื่อเทียบกับวิธีการผลิตในแบบเดิมๆ)

หรือถ้าจะพูดให้เป็นคอนเซ็ปท์กว่านั้นหน่อย หลายคนก็มองว่า Digital Manufacturing ที่แท้ก็คือกระบวนการแห่งความ “ประหยัดและพอเพียง” นั่นเอง เพราะมันจะช่วยลดทั้งรายจ่าย ทั้งเวลาการทำงานที่ไม่จำเป็น ช่วยให้เราบริหารจัดการปริมาณการผลิตได้แบบแน่นอนไม่เหลือทิ้ง สินค้ามีคุณภาพดีขึ้น แถมยังไม่เปลืองไฟ ไม่เปลืองค่าแรง และไม่เปลืองวัตถุดิบอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการประยุกต์ใช้ระบบ Digital Manufacturing ในธุรกิจสมัยใหม่ ก็จะทำให้ตัวเลขบัญชีของธุรกิจนั้นๆ ดูน่าสนใจขึ้นมาก (โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนในอนาคต) และที่สำคัญ Digital Manufacturing ก็ไม่ได้ขอให้คุณต้องติดแผงโซล่าร์ไว้บนหลังคาโรงงานด้วย คุณไม่จำเป็นต้อง Lean & Green แบบนั้นก็ได้ !
เมื่อ “เวลา” ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่คือข้อได้เปรียบ
ถึงตอนนี้ หลายคนอาจจะพอเดาได้ว่า สินค้าที่ผลิตขึ้นในกระบวนการแบบ Digital Manufacturing นั้น โดยทั่วไปก็ จะเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างเร็วกว่าการผลิตแบบเก่ามาก เพราะขั้นตอนที่ไม่จำเป็นต่างๆ (หรือเป็นแค่ส่วนเสริม) มันจะถูกตัดทิ้งออกไปเกือบหมด ซึ่งนั่นเองก็จะส่งผลให้สินค้าของเราเดินทางไปถึงมือผู้บริโภคได้เร็วขึ้น (Travel-To-Market) และที่สำคัญในหลายๆ เคสมันได้พิสูจน์แล้วว่าทำให้ “ต้นทุนการผลิตโดยรวม” ลดลงไปได้แบบสวยๆ ด้วย นอกจากนี้ Digital Manufacturing ยังมีประโยชน์อีกแง่ที่โดดเด่นมาก นั่นก็คือมันสามารถย่นระยะเวลาของ Design System ที่ซับซ้อนลงได้ (ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีสมัยใหม่) ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าโรงงานบางแห่งสามารถสร้างสรรค์และผลิตสินค้าชิ้นหนึ่งขึ้นได้ในเวลาที่สั้นมาก ทั้งยังสามารถเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของสินค้าใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว (และตรงใจลูกค้ามากขึ้น) ข้อได้เปรียบเหล่านี้ล้วนเป็นผลลัพธ์โดยตรงของการนำเทคโนโลยีดิจิตอลและระบบการผลิตแบบ Digital Manufacturing มาใช้ มันจะเปิดทางให้โรงงานและองค์กรธุรกิจสามารถต่อยอดดีไซน์ ปรับปรุงรูป ลักษณ์ของสินค้าที่มีอยู่เดิมได้อย่างรวดเร็ว แถมยังผลิตออกมาขายได้ทันใจลูกค้าด้วย

Digital Manufacturing จะทำให้ความสามารถในการผลิตของเราถีบตัวสูงขึ้นด้วยการลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ ลง อะไรที่การผลิตแบบเดิมเคยต้องทำซ้ำๆ จะแก้ก็ยาก จะเปลี่ยนก็ยุ่ง ปรับอะไรกันทีก็ต้อง วุ่นวาย นับหนึ่งสองสามใหม่ …เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับคุณแล้ว
หลายธุรกิจในปัจจุบันพยายามใช้ ประโยชน์จาก Digital Manufacturing ให้ครบทุกแง่มุม เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การวางแผนการผลิต การจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ( PLM) เรื่อยไปจนถึงเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตคนงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลงทุนมหาศาลเสมอไปหรอกนะ มีโรงงานหลายแห่งที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลแค่ในระดับพื้นฐาน เช่น Software และ Interface ง่ายๆ เชื่อมโยงการทำงานส่วนต่างๆ เข้าหากันด้วยระบบ อินเทอร์เน็ต แค่นี้ก็เป็นบันไดลัดที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานดีขึ้น วางแผนแม่นขึ้น รวมถึงผลิตและแจกจ่ายสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว
จากรายงานล่าสุดของ CIMdata ( บริษัทที่ปรึกษาด้าน การจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ - PLM) เผยว่า องค์กรที่นำเทคโนโลยีในกลุ่ม Digital Manufacturing มาใช้ ล้วนได้เห็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงใน 2 ด้าน หนึ่งคือ ด้านประสิทธิภาพการผลิตที่พัฒนาสูงขึ้น และสองคือเรื่องการลดความสูญเปล่าด้านทรัพยากร ซึ่งตรงนี้ก็รวมถึง การลดระยะเวลาการนำเสนอสินค้าสู่ท้องตลาด (Time To Market) ที่ลดลงไปได้ ราว 30%, ลด เนื้องานในส่วนการวางแผนการผลิตไปได้อีก 40% ฯลฯ ซึ่งโดยรวมแล้วก็จะทำให้ ต้นทุนการผลิตลดลงไปได้ถึง 13% ( โดยเฉลี่ย ) ในขณะที่ต้นทุนเฉพาะด้านอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้นั้น จะลดลงไปได้ถึง 40% เลยทีเดียว
การออกแบบ “กระบวนการผลิต” ที่ ใช่
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Digital Manufacturing ไม่ได้เริ่มต้นมาจากแนวคิดการลดขยะหรือรักษ์โลกเสียทีเดียว (และนั่นก็ยังไม่ใช่หัวใจของระบบการผลิตนี้ในปัจจุบันด้วย) อันที่จริงแล้วองค์กรธุรกิจที่น้อมนำเอาระบบ Digital Manufacturing มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ “ทั่ว ทั้งองค์กร” เขามักมีเป้าหมายหลักที่จะวางแผนภาพรวมในการผลิตเอาไว้ล่วงหน้า (เหมือนกับได้ลองทำ Virtual Plant Tour แบบกลายๆ) รวมถึงเพื่อจะหาลู่ทางในการลดหรือบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการออกแบบได้ เช่น ถ้าสามารถระบุได้ว่าโรงงานควรออกแบบพื้นที่การทำงานอย่างไรให้เอื้อกับคนงานในอนาคต ก็จะลดโอกาสเสี่ยงที่โรงงานจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุปกรณ์ หรือกระทั่งต้องออกแบบสายการผลิตใหม่ เป็นต้น
ด้วยเทคโนโลยีสนับสนุนที่หลากหลาย ทั้งในด้าน Visualization, Process planning, Factory modeling, Simulation, Collaboration ฯลฯ ผู้บริหาร องค์กรจะมองเห็นว่าเขาควรต้องวางแผนกลยุทธ์อย่างไร เพื่อจะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่เดิมได้อย่างสูงสุด และในขณะเดียวกัน ก็สามารถเข้าใจในพฤติกรรมตอบรับรวมถึงระดับความสุขในการทำงานของผู้คนในองค์กรด้วย
กล่าวคือวิถีการผลิตแบบ Digital Manufacturing นี้จะขจัดความผิดๆ ถูกๆ มั่วๆ งงๆ ออกไปจาระบบการผลิตได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ (ที่บางทีก็ซ้ำซ้อนวกไปวนมา) หรือจากการออกแบบบนกระดาษที่คาดการณ์ยากและทดสอบล่วงหน้าไม่ได้ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบถึงการใช้ทรัพยากรคนและพลังงานให้หมดเปลืองไปโดยใช่เหตุ แต่กับระบบการผลิตแบบ Digital Manufacturing นี้ ผู้บริหารจะนำพาทรัพยากรทั้งหมดที่มี (ทั้งโรงงานและแรงงาน) เข้าสู่ “ห้วงเวลาใหม่” ของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง


ฟังก์ชั่นและแอพพลิเคชั่นหลายๆ ตัวในระบบการผลิตแบบ Digital Manufacturing (โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในโครงข่ายออนไลน์) จะเอื้อให้ทั้งนักออกแบบและวิศวกรในองค์กร สามารถ “ ทำงานร่วมกัน ” ได้ดีขึ้นภายในกรอบระยะเวลาที่สั้นลง ยกตัวอย่างเช่น ในโครงการที่ทีมดีไซเนอร์และวิศวกรต้องช่วยกันคิดออกแบบโรงงานและสายพานการผลิตใหม่ หากบางคนในทีมจำเป็นต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางจุด ดิจิตอลแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมโยงงานของทุกคนเข้าหากัน มันก็จะช่วยประมวลผลภาพรวมใหม่ให้ได้ทันที ซึ่งก็จะทำให้ทุกคนได้เห็นภาพเดียวกันอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งที่พวกเขาเลือกทำนั้นมันจะกระทบกับ Suppy chain ทั้งหมดอย่างไรบ้าง ( ดังนั้นมันจึงไม่ผิดหากทีมออกแบบจะปรับเปลี่ยนดีไซน์กันมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะมันสามารถทำได้ง่าย และจะไม่สร้างความผิดพลาดหรืองุนงงให้กับระบบการทำงานโดยรวม )
ดังนั้นในการออกแบบสายพานการผลิตหนึ่งๆ ดีไซเนอร์อาจจะออกแบบเลย์เอาท์และการวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ ไว้หลายแบบ จากนั้นค่อยนำเลย์เอาท์เหล่านั้นมาสร้างเป็น Prototype ใน แบบ Virtual Tour ด้วยวิธีนี้ทุกคนในทีมจะช่วยกันวิเคราะห์เปรียบเทียบได้เลยว่า “เลย์เอาท์ไหนที่ลงตัวที่สุด” อาทิเช่น อุปกรณ์ต่างๆ ยังคงทำงานได้ดีหรือไม่ เครื่องมืออยู่ในตำแหน่งและวิถีที่เหมาะสมกับการยศาสตร์ของมนุษย์รึเปล่า คนงานทำงานได้สะดวกปลอดภัยแค่ไหน ฯลฯ
เพราะยังไงเสียการที่ทีมงานได้ตัดสินใจจาก “ภาพจำลองเคลื่อนไหว” (Animated Simulation) ก็ย่อมทำให้ทุกคน “เข้าใจ” ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโรงงานจริงได้ดีกว่าการนั่ง “มโน” เอาจากดีไซน์ที่อยู่บนกระดาษเป็นแผ่นๆ เป็นแน่
เทคโนโลยีดิจิตอล VS แรงงานมนุษย์
บางคนอาจจะคิดแง่ลบไปว่า “ถ้าเรานำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาใช้มาก แรงงานคนก็หมดความหมายน่ะสิ” บอกเลยว่านั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะหากเรามองให้ลึกซึ้งและรอบด้านแล้ว Digital Manufacturing กลับจะทำให้ “แรงงานมนุษย์” ทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ง่ายขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ วันเสียอีก


จากผลการสำรวจของบริษัท CIMdata พบว่า องค์กรธุรกิจที่นำระบบ Digital Manufacturing มาใช้ อย่างจริงจังนั้น สามารถจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเลขผลกำไรการลงทุน ( ROI) ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนภายในช่วงเวลาหลักเดือน หลายแห่งสร้างยอดรายได้เฉลี่ยต่อปีได้เป็น 5 – 10 เท่าของเงินลงทุนตั้งต้น ฯลฯ ซึ่งตัวเลขระดับนี้คงปลดล็อกความคลางแคลงใจของหลายๆ คนได้แล้วว่า Digital Manufacturing นั้นจะ ไม่ใช่แค่หนึ่งไอเดียสวยหรูที่ทำให้ธุรกิจดูทันสมัยขึ้น แต่มันจะก้าวมาเป็น “หัวใจดวงใหม่” ของทุกคน...ที่ยังอยากจะยืนอยู่ในสนามแข่งขันของอนาคต !
สรุป
เหตุผลง่ายๆ 4 ข้อ ของการนำ ระบบ Digital Manufacturing มาใช้กับสายการผลิต
1) ลดการทำงานบนกระดาษ ลดขยะ ลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error)
2) ลดความจำเป็นในการ สร้างแบบจำลอง (Prototype) ราคาแพง ลดการสิ้นเปลืองทรัพยากร พลังงาน และเวลา
3) เพิ่มระดับการทำงานร่วมกันระหว่างบุคคลากร (Team Collaboration)
4) เพิ่มผลผลิต
เครดิตภาพประกอบ:
automationworld.com
blog.lnsresearch.com
siemens.com
thomasnet.com
aipaerospace.com