Internet of Things: โอกาสจากการเชื่อมต่อ
Technology & Innovation

Internet of Things: โอกาสจากการเชื่อมต่อ

  • 28 Aug 2015
  • 5937

ในเดือนเมษายน ปี 2015 เว็บไซต์ Tech.co เผยถึงสิบภาคธุรกิจยอดนิยมในกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพ แน่นอนว่าภาคธุรกิจที่ติดโผดังกล่าวคงจะหนีไม่พ้นภาคธุรกิจยอดนิยมอย่าง Cloud Computing (อันดับ 1) Analytics (อันดับ 2) และ Finance (อันดับ 3) แต่ภาคธุรกิจที่น่าสนใจและจะนำมาเสนอในบทความนี้ คือ Internet of Things (IoT) ที่ครองตำแหน่งตามมาติดๆ ในอันดับที่ 4 และกำลังเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Internet of Things (IoT) คือ การที่อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart device) สามารถเชื่อมโยงถึงกันและสื่อสารข้อมูลกันได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมของมนุษย์

Keith Mercier จากบริษัท IBM Watson อธิบายถึงแนวคิดของ Internet of Things ไว้ว่า “ที่น่าจะเป็นไปได้ เช่น สายรัดข้อมือที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของคุณสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายและส่งต่อให้กับแพทย์ได้ในแบบเรียลไทม์ ในกรณีที่ความดันโลหิตของคุณสูง แพทย์จะสามารถออกใบสั่งยาและส่งยามาให้ถึงหน้าบ้านคุณได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ ตู้เย็นสามารถปรับอุณหภูมิภายในตู้ได้ตามอาหารที่แช่ไว้และสามารถเตือนคุณได้เมื่อไอศครีมของคุณกำลังจะหมด”

ข้อมูลจากบริษัท อินเทล รายงานว่า ประโยชน์ของ Internet of Things นั้น มีทั้งจาก Smart Device สำหรับใช้ในบ้านหรือใช้ผ่านสมาร์ทโฟน และประโยชน์สำหรับภาคส่วนที่ใหญ่ขึ้น เช่น ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และสาธารณสุข เนื่องจาก Smart Device คือ แหล่งบันทึกข้อมูลที่บริษัทและหน่วยงานต่างๆ นำไปใช้เพื่อติดตามรายการสินค้าคงคลัง เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ และประหยัดต้นทุนได้ นอกจากนี้ จำนวน Smart Device ที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเพิ่มจาก 2 พันล้านชิ้นในปี 2006 เป็น 15,000 ล้านชิ้นในปี 2015 และอาจจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 20,000 ล้านชิ้นในปี 2020

จากข้อมูลของบริษัท อินเทล จะเห็นได้ว่า Internet of Things เปิดโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่ว่าจะเป็นในสเกลเล็กหรือใหญ่ จึงไม่น่าแปลกที่ Internet of Things เป็นภาคธุรกิจที่กำลังมาแรงและสร้างโอกาสให้กับบริษัทสตาร์ทอัพ ดังที่เห็นได้จากบริษัท Nest ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย Tony Fadell และ Matt Rogers ผู้มุ่งมั่นในการสร้างบ้านอัจฉริยะที่มีความรู้สึก ในปี 2011 Nest ประสบความสำเร็จขั้นแรกในการไปสู่เป้าหมายดังกล่าวจากผลงาน Nest Thermostat อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิในบ้านอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลการใช้งานของเจ้าของบ้าน พยากรณ์อากาศ ฯลฯ เพื่อค้นหาอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในบ้านตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้บ้านมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการอยู่อาศัยตลอดเวลา นอกจากนี้เจ้าของบ้านยังควบคุมเครื่อง Nest Thermostat ระยะไกลได้ผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนของตน ความสำเร็จของ Nest Thermostat ทำให้ บริษัท Google เทเงินมูลค่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อกิจการของบริษัท Nest ในปี 2014

อีกตัวอย่างของบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างธุรกิจจาก Internet of Things คือ บริษัท Edyn ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Jason Aramburu ผู้มุ่งมั่นในการสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้คนจัดการแหล่งทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Aramburu ผลิต Edyn อุปกรณ์ที่ประกอบด้วยแผงเซ็นเซอร์สำหรับปักลงดินเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับดินและสภาพอากาศ Edyn ช่วยให้ผู้ใช้ปลูกพืชในสวนของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับดิน ความชื้น และสภาพอากาศที่เหมาะสมกับพืชที่ปลูก นอกจากนี้ Edyn ยังเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ เพียงแค่เปิดแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ก็จะดูข้อมูลได้ว่าสภาพดินบริเวณนั้นเป็นอย่างไร ขาดแร่ธาตุอะไร รวมถึงรายงานสภาพอากาศในขณะนั้น Aramburu นำโปรเจ็กต์ Edyn ไประดมทุนในเว็บไซต์ Kickstarter และในเดือนกรกฎาคม ปี 2014 Edyn มียอดขายกว่า 2,000 ชิ้น และได้รับเลือกให้ไปจำหน่ายใน Home Depot ร้านค้าจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านรายใหญ่ในสหรัฐฯ ในฤดูใบไม้ผลิปี 2015

ท่ามกลางกระแสของ Internet of Things ที่กำลังพัดผ่าน โอกาสในการสร้างธุรกิจจากการเชื่อมต่อกำลังเกิดขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน จากตัวอย่างของบริษัทสตาร์ทอัพ Nest และ Edyn จะเห็นได้ว่าท่ามกลางคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ไปได้เร็วทันความคิดของตนเอง คือ ผู้ที่สามารถพลิกโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัลได้สำเร็จ

Reference:
Guide to Internet of Things
The Internet Of Things Will Transform Retail As We Know
The 10 fastest growing startup industries in 2014
The 5 fastest growing internet of things startups
About Nest
Edyn

Credit image
http://www.3g.co.uk/PR/Feb2015/internet-of-things-everything-you-need-to-know.html