เอสโตเนีย: ผู้นำแห่งสังคมดิจิทัลกับก้าวใหม่ที่เดิมพันด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์
Technology & Innovation

เอสโตเนีย: ผู้นำแห่งสังคมดิจิทัลกับก้าวใหม่ที่เดิมพันด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์

  • 26 Aug 2019
  • 35873

“การสร้างสังคมดิจิทัลอาจเป็นทางเลือกเดียวของเอสโตเนียที่จะเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ” คือคำกล่าวที่สามารถสรุปตัวตนและบทบาทในเวทีโลกขณะนี้ของประเทศเล็กๆ อย่างเอสโตเนียได้ดีที่สุด อนู-มาจา ปัลลอก (Anu-Maaja Pallok) ที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรมประเทศเอสโตเนีย ได้กล่าวไว้ในเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ CEA FORUM 2019 ในประเด็นที่เหนือกว่าการก้าวขึ้นมาเป็นประเทศแห่งผู้นำด้านดิจิทัล แต่เป็นเรื่องที่ว่าเอสโตเนียใช้จุดแข็งของตัวเองผลักดันอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ (Cultural and Creative Industries: CCI) ให้กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ประเทศก้าวหน้าต่อไปจากนี้ได้อย่างไร

สังคมดิจิทัลที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ก่อนที่ทั่วโลกจะรู้จักเอสโตเนียในฐานะประเทศต้นกำเนิดของสไกป์ (Skype) โปรแกรมยอดฮิตสำหรับการสื่อสารที่ไร้พรมแดนซึ่งให้บริการมาตั้งแต่ปี 2003 หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าชาวเอสโตเนียนได้ถูกวางรากฐานให้มีทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) มาตั้งแต่ปี 1996 โดยทางรัฐบาลในสมัยนั้นได้มีการปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจเรื่องดิจิทัลให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตผ่านระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยหวังว่าทักษะด้านดิจิทัลที่ติดตัวชาวเอสโตเนียนจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับประเทศให้แข่งขันได้ในเวทีโลก และดูเหมือนว่าประเทศเล็กๆ ที่มีข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์และจำนวนประชากรที่น้อยนิดเพียง 1.3 ล้านคน จะสามารถเปลี่ยนอุปสรรค์ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบด้วยการใช้ความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลได้จริงตามที่คุณอนู-มาจา ได้กล่าวไว้ข้างต้น เพราะขณะนี้ เอสโตเนียคือประเทศที่ถูกยกย่องให้มี “สังคมดิจิทัลที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก” เป็นที่เรียบร้อย

 
วิวัฒนาการสังคมดิจิทัลของเอสโตเนีย
1997 - e-Governance ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางภาครัฐได้ 99% ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ ยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชนทั้งประเทศ
2000 - e-Tax จัดระบบการยื่นภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เวลาดำเนินการเพียง 3-5 นาที ประชาชนใช้บริการการยื่นภาษีผ่านระบบนี้ถึง 95%
2001 - X-Road เปิดระบบโอเพนซอร์ซที่ให้ทางภาครัฐและเอกชนเข้าถึงข้อมูลร่วมกัน ซึ่งเทียบเท่ากับการทำงานได้แล้วกว่า 800 ปี
2002 - Digital ID ระบบการยืนยันตัวตนดิจิทัลที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้อย่างสะดวกสบาย
2005 - i-Voting ระบบการโหวตออนไลน์ที่ให้พลเมืองใช้สิทธิ์ได้ทุกที่ทุกเวลา
2008 - e-Health ระบบการให้บริการสุขภาพจากทางภาครัฐที่แพทย์และคนไข้สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพได้ 95% โดยมีระบบบล็อกเชนช่วยทำให้ข้อมูลปลอดภัย ช่วยให้การจัดมาตรการด้านสุขภาพของประชาชนเป็นเรื่องง่ายขึ้น และสามารถประหยัดงบประมาณด้านสุขภาพได้เป็นพันล้านยูโร
2014 - e-Residency การให้สิทธิ์พลเมืองโลกได้มี Digital Identity ที่สามารถเข้าถึงบริการทางภาครัฐต่างๆ และร่วมสร้างธุรกิจด้วยสิทธิที่เท่าเทียมเสมือนพลเมืองเอสโตเนีย โดยขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโปรแกรมนี้กว่า 45,000 คน กระจายอยู่ใน 154 ประเทศทั่วโลก
สังคมดิจิทัลของเอสโตเนียสามารถประหยัดเวลาการทำงานไปได้ถึง 1407 ปี และรัฐบาลเอสโตเนียกำลังเดินหน้าสร้าง e-state ที่ให้บริการพื้นฐานต่างๆ แก่ประชาชนเป็นระบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ในอนาคต
 

นิเวศสร้างสรรค์ที่จำเป็นต้องสร้าง
เมื่อเอสโตเนียรู้จุดแข็งของตัวเองชัดเจนแล้ว เป้าหมายต่อไปที่รัฐบาลไม่หยุดมุ่งมั่น คือการมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนเอสโตเนียให้ไปต่อ และดูเหมือนว่าพลังความคิดสร้างสรรค์จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทางรัฐบาลเอสโตเนียให้การสนับสนุนอยู่ในขณะนี้ เพราะผลจากการศึกษาครั้งล่าสุดในปี 2015 ของฝ่ายพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในเอสโตเนียรายงานว่า อุตสาหกรรมในภาคส่วน CCI เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 45% มีสถาบันและวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับความสร้างสรรค์จำนวนกว่า 2,000 แห่ง และมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมในอุตสาหกรรมนี้อีกกว่า 3,400 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจสาขาอื่นๆ ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เอสโตเนียปรับแผนการสนับสนุนอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง โดยนำเข้าไปอยู่ในแผนนโยบายพัฒนาวัฒนธรรมและเศรษฐกิจเอสโตเนีย

“การเติบโตของ CCI มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของเอสโตเนียอย่างเห็นได้ชัด อย่างการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ทำให้ธุรกิจในท้องที่นั้นๆ มีรายได้มากขึ้นถึงร้อยละ 40 ซึ่งหมายความว่าทุก 1 ยูโรที่เราลงทุนไปในการจัดงาน จะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยกลับคืนถึง 400 ยูโร และเราคิดว่ารูปแบบของการสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เราไม่ควรแยกไปจากสาขาวิทยาศาสตร์ การศึกษา และเทคโนโลยี เพราะมันก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ CCI จึงสามารถสร้างคุณค่า สร้างงาน ทั้งในส่วนของ CCI เองและในส่วนของอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นกัน”  อนู-มาจากล่าว และทางรัฐบาลเอสโตเนียเองก็รู้ดีว่า เพียงแค่ปรารถนาให้ประชาชนมีความคิดสร้างสรรค์กันมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะความสามารถและทักษะที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังเช่นกัน 

“การบอกให้ผู้คนมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องง่าย แต่การมีความคิดสร้างสรรค์มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น… เราจะพูดได้ไหมว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ความสามารถที่พระเจ้ามอบให้ แต่เป็นเรื่องของการลงมือทำ เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ ดังนั้นแทนที่เราจะเปลี่ยนศิลปินและนักสร้างสรรค์ให้เป็นนักธุรกิจที่มุ่งหวังผลกำไร เราจึงสร้างระบบนิเวศให้พวกเขาได้ทำงานร่วมกันได้หลากหลายสาขา เพื่อให้เกิดการสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่เป็นไปได้ไม่รู้จบ” 

สร้างสรรค์ สร้างชาติเอสโตเนีย
หากจะบอกว่ากิจกรรมสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในเอสโตเนียขณะนี้ คึกคักไม่แพ้กับเทคสตาร์ทอัพที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเฟื่องฟูก็คงไม่ผิดนัก เพราะจำนวนกว่า 2 ล้านคน/ปี ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาร่วมงานคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นที่เอสโตเนีย และจำนวนกว่า 3.5 ล้านคน/ปี ที่มีผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในประเทศซึ่งมีประชากรเพียง 1.3 ล้านคน ก็น่าจะนับเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์อันสดใสของประเทศเล็กๆ แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

“เอสโตเนียเป็นประเทศเล็กๆ แต่เศรษฐกิจและสังคมของเราเป็นแบบเปิดค่ะ มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดตั้งบริษัทในเอสโตเนีย เนื่องจากเรามีนโยบาย ระบบภาษี และการจัดการที่สนับสนุนผู้ประกอบการแบบครบครัน ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่านักสร้างสรรค์มักไม่ถนัดเรื่องเอกสารการดำเนินงานต่างๆ ที่เอสโตเนียจึงมีระบบการสนับสนุนผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในรูปแบบดิจิทัลที่ช่วยให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่ายขึ้น และโปรแกรม e-Residency ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นยังช่วยให้นักสร้างสรรค์ที่อยู่ต่างแดนเข้าถึงบริการทางภาครัฐของเอสโตเนีย เพื่อเริ่มต้นสร้างธุรกิจด้วยสิทธิที่เท่าเทียมเปรียบเสมือนพลเมืองของเรา ซึ่งโปรแกรมนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี โดยล่าสุดเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ก็ได้เข้าร่วมโปรแกรมนี้กับเราค่ะ”

และเมื่อถามถึงสาขาธุรกิจสร้างสรรค์ที่น่าจับตามองของเอสโตเนีย อนู-มาจาก็ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “หากมองในเชิงเศรษฐกิจ สาขาธุรกิจสร้างสรรค์ที่กำลังมาแรงและโดดเด่นมีด้วยกัน 3 สาขา นั่นคือ 1.) อุตสาหกรรมเกม ที่สามารถเติบโตในตลาดระดับโลกได้เป็นอย่างดี 2.) อุตสาหกรรมออกแบบและแฟชั่น ซึ่งแม้จะยังเป็นธุรกิจกลุ่มเล็กๆ แต่ก็มีความโดดเด่นด้านการสร้างสินค้าที่แตกต่างและสามารถสะท้อนถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของเอสโตเนียได้เป็นอย่างดี กลุ่มนี้มีการพัฒนาแบรนด์ที่เห็นได้ชัดและยังมีการส่งสินค้าออกขายนอกประเทศด้วย และ 3.) อุตสาหกรรมดนตรี เพราะเอสโตเนียเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านดนตรีคลาสสิกและมีอาร์โว แพรท (Arvo Pärt) คอมโพสเซอร์ระดับโลกที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของเรา แต่ละปีเราจัดมิวสิกเฟสติวัลมากมายที่มีคนนับหมื่นๆ คนเดินทางมาเข้าร่วม 

นอกจากนี้ หากมองในแง่ของวัฒนธรรม เอสโตเนียยังมีพิพิธภัณฑ์กว่า 240 แห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราให้คุณค่ากับมรดกของชาติ เพราะวัฒนธรรมคือดีเอ็นเอของเรา และแม้เอสโตเนียจะมีจุดแข็งด้านการสร้างสังคมดิจิทัล แต่เราก็ตระหนักดีว่ามันเป็นเพียงช่องทางการทำสิ่งต่างๆ ให้สะดวกสบายขึ้น แต่ไอเดียและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆ แล้วล้วนมาจากพลังการสร้างสรรค์ของประชาชนค่ะ” อนู-มาจา กล่าวทิ้งท้าย

 
อุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ (Cultural and Creative Industries: CCI) สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เอสโตเนียได้แค่ไหน...
- มีมูลค่าคิดเป็น 2.9% ของ GDP เอสโตเนีย
- สร้างการจ้างงาน 4.8%
- คิดเป็นสัดส่วน 11.6% ของจำนวนธุรกิจทั้งหมดในเอสโตเนีย
- สร้างมูลค่าการส่งออกให้ประเทศ 5.6%
 

ที่มา : สรุปการบรรยาย “ทำอย่างไรอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของเอสโตเนียถึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด?” โดย อนู-มาจา ปัลลอก ในงาน CEA FORUM 2019 วันที่ 15 สิงหาคม 2562 ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) และสัมภาษณ์พิเศษคุณอนู-มาจา ปัลลอก

เรื่อง : วรรณเพ็ญ บุญเพ็ญ