
เสน่ห์ของ Clubhouse : FOMO, ความรู้สึกเป็นคนพิเศษ และการจับเข่าคุยกัน
คลับเฮ้าส์ (Clubhouse) กลายเป็นกระแสฟีเวอร์ในไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ความนิยมแบบบอกปากต่อปากและ “ต้องได้รับเชิญ” เท่านั้น ทำให้อินฟลูเอนเซอร์ทุกวงการ ตั้งแต่ไอที การเงิน การเมือง เพลง ภาพยนตร์ ธุรกิจ ต่างกระโจนเข้ามาเปิดห้องสนทนา ...เสน่ห์ของแอพพลิเคชันนี้คืออะไร ทำไมหลายคนถึงพร้อมใจกันสมัครและใช้เวลากับมันวันละไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมงติดต่อกัน
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักคลับเฮ้าส์ แอพฯ นี้ถือเป็นโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่ง แต่เป็นโซเชียลมีเดียที่ปฏิสัมพันธ์กันผ่าน “เสียง” เท่านั้น ผู้ใช้ที่เข้ามาต้องลงทะเบียนด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อให้มั่นใจว่ามีตัวตนจริง เมื่อเข้ามาแล้วจึงสามารถสร้างโปรไฟล์ใส่ชื่อ รูป และคำอธิบายตัวตนเล็กน้อยได้
จากนั้นผู้ใช้สามารถเข้าร่วมห้องสนทนาตามหัวข้อที่สนใจ จะเข้าไปฟังอย่างเดียวก็ได้หรือจะยกมือขอแสดงความเห็น ถกเถียง อภิปรายด้วยก็ได้ และเช่นเดียวกัน ผู้ใช้ทุกคนมีสิทธิ์จะตั้งห้องสนทนาของตนเองเพื่อเชิญชวนให้ผู้ใช้คนอื่นเข้ามาคุยกัน แน่นอนว่าทุกคนสามารถกด ‘follow’ ผู้ใช้คนอื่นได้ ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าคนคนนั้นกำลังอยู่ในห้องไหน
ตัวอย่างห้องสนทนาในคลับเฮ้าส์
คอนเซ็ปต์โดยรวมของคลับเฮ้าส์จึงคล้ายกับงานประชุมขนาดใหญ่ที่มีห้องให้เข้าร่วมหลายหัวข้อ ในวันแรก ๆ ที่แอพฯ เป็นกระแสในไทย หัวข้ออาจจะเป็นเรื่องเฉพาะทางและจริงจัง เช่น ห้องแนะนำการลงทุนหรือห้องถกปัญหาธุรกิจสตาร์ตอัพ เพราะกลุ่มที่เข้าถึงแอพฯ ก่อนใคร (Early adopters) คือเหล่าคนในแวดวงไอทีและสตาร์ตอัพ แต่เมื่อคนหลากหลายเริ่มเข้าถึงมากขึ้น หัวข้อสนทนาก็เริ่มกลมกล่อมและขยายไปหลายด้านมากขึ้น เช่น ห้องชวนฝึกพูดภาษาอังกฤษ, ห้องระบายความในใจ LGBTQ, ห้องสภาโจ๊ก (ล้อการเมือง) ไปจนถึงห้องเล่าเรื่องผี
FOMO และความรู้สึกเป็นคนพิเศษ
คอนเซ็ปต์การคุยกันด้วยเสียงและหัวข้อเรื่องที่สร้างความกระหายใคร่พูดในสังคมไทย ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดกระแสฟีเวอร์ได้ภายในไม่กี่วัน หมัดเด็ดอีก 2 ข้อที่ทำให้คลับเฮ้าส์พุ่งทะยานคือแอพฯ นี้ “ห้ามบันทึกเสียง” และ “การเข้าใช้งานต้องได้รับ ‘คำเชิญ’ เท่านั้น”
ว่ากันที่เรื่องห้ามบันทึกเสียงก่อน คลับเฮ้าส์จะมีฟีเจอร์ป้องกันการบันทึกเสียงในตัวเครื่อง และจะไม่มีการเก็บบันทึกไว้ฟังย้อนหลัง แน่นอนว่า ถ้าหากมีคนใช้มือถือเครื่องอื่นหรืออุปกรณ์อื่นอัดเสียงจากลำโพงเครื่องที่เปิดคลับเฮ้าส์ ก็ยังสามารถบันทึกได้ แต่โดยคอนเซ็ปต์แล้ว ทางแอพฯ ไม่ต้องการให้มีการเก็บบันทึก
การไม่มีบันทึกให้ฟังย้อนหลังหรือตัดต่อท่อนเด็ด ๆ มาให้ฟัง ทำให้หลายคนกล่าวตรงกันว่า ในหัวข้อที่สนใจจริง ๆ ผู้ใช้จะละทิ้งกิจกรรมอื่นเพื่อเข้าไปฟังสด เพราะไม่อยากพลาดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นลักษณะของ FOMO (Fear of Missing out) หรือความ "กลัวพลาด" ข้อมูลที่น่าสนใจ ที่โซเชียลมีเดียจำนวนมากมักสร้างให้เกิดขึ้นกับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานบ่อย ๆ หรือใช้ติดต่อกันนาน ๆ
ตัวอย่างผู้สมัครคลับเฮ้าส์ และยังรอให้มีผู้ใช้เดิม Invite เข้าไปใช้งาน
อีกประการหนึ่งคือเรื่องของ ‘คำเชิญ’ หรือฟีเจอร์ Invite ของแอพฯ แทนที่คลับเฮ้าส์จะทำเหมือนโซเชียลมีเดียอื่น ๆ คือใครจะสมัครใช้งานก็ได้เพื่อให้แอพฯ โตไว แต่คลับเฮ้าส์กลับจำกัดสิทธิให้ผู้ใช้แต่ละคนส่งคำเชิญผู้ใช้ใหม่เข้ามาเล่นได้เริ่มต้นเพียง 2-3 คน ยกเว้นเป็นเบอร์ที่บันทึกไว้ในเครื่องอยู่แล้ว สามารถเชิญได้ไม่จำกัด ตีความการจำกัดสิทธิ์ส่วนนี้เพื่อให้ผู้ใช้เชิญคนที่อยู่ในแวดวงสังคมเดียวกันและรู้จักกันในชีวิตออฟไลน์เป็นหลัก
กลายเป็นว่า “ความเข้าถึงยาก” ของแอพฯ กลายเป็นเสน่ห์ต่อผู้ใช้งาน แต่ละคนขวนขวายหา Invite เพราะต้องการจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ได้มีสิทธิ์เข้าสู่วงสังคมคลับเฮ้าส์ และยิ่งมีคำบอกต่อ ๆ กันว่าใน ‘คลับ’ ได้รู้เรื่องราวที่พิเศษ (โดยบันทึกออกมาเผยแพร่ต่อไม่ได้) ยิ่งทำให้ความต้องการสูงขึ้น จนเกิดปรากฏการณ์ “ขาย Invite” กันทั่วโลก ยกตัวอย่างในไทย จากการสำรวจพบว่ามีผู้ขาย Invite ผ่าน Shopee และ Twitter ตั้งแต่ราคา 80 บาทไปจนถึง 1,000 บาททีเดียว!
นอกจากนี้ ปัจจุบันคลับเฮ้าส์ยังใช้ได้เฉพาะระบบปฏิบัติการ iOS ยิ่งทำให้คนที่ใช้สมาร์ตโฟนระบบแอนดรอยด์บางคนถึงขั้นจะเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่เป็น iPhone เลยก็มี (ประเด็นนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้พัฒนา เนื่องจากการพัฒนาบนระบบแอนดรอยด์เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้)
จุดแข็ง : การแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
อีกหัวข้อหนึ่งที่ทำให้คลับเฮ้าส์ร้างความแตกต่าง จากการพูดคุยกับ อนิล ยศสุนทร เจ้าของเพจ Marvel Thailand Fanclub ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 5.3 แสนคน และสร้างเพจมานาน 9 ปี อนิลเคยเข้าไปทดลองตั้งห้องสนทนาในคลับเฮ้าส์แล้วครั้งหนึ่ง เป็นห้องนัดสนทนาพูดคุยสั้น ๆ 10-15 นาทีหลังตอนล่าสุดของซีรีส์ WandaVision ฉายจบ เพื่อพูดคุยความรู้สึกและวิเคราะห์ทิศทางตอนต่อไปของซีรีส์ นอกจากนี้ เขายังร่วมฟังสนทนาห้องอื่น ๆ อีกหลากหลายหัวข้อ
จุดแข็งที่สุดของคลับเฮ้าส์ที่อนิลมองเห็นในฐานะอินฟลูเอนเซอร์คือ “การปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของคนในห้องสนทนา” (Interactive) เมื่อเทียบกับการ Live บนเฟซบุ๊ก ผู้ชมสดสามารถแชตเข้ามาได้ก็จริง แต่ก็ต้องรอให้ข้อความของตนเองถูกอ่านและตอบสนอง ขณะที่ในคลับเฮ้าส์ ผู้เข้าร่วมจะยกมือขอพูดเองได้โดยตรง ความรู้สึกของการตอบโต้จึงใกล้ชิดกว่า รวดเร็วทันทีกว่า เหมือนได้มาจับเข่าคุยกันจริง ๆ
เมื่อจุดแข็งของแอพฯ คือการ “อภิปราย” ทำให้คอนเทนต์ที่จะนำมาพูดคุยจะไม่เหมือนกับพอดคาสต์ที่เป็นการถ่ายทอดฝั่งเดียว แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดการพูดคุย และเขาพบว่าหลายคนกำลังสำรวจและคลำทางที่ถูกในการสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มนี้
“การเตรียมคอนเทนต์สำคัญมาก เจ้าของห้องต้องหาจุดที่ทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และการที่คนฟังถูกกระตุ้นให้ขึ้นมาแลกเปลี่ยน ได้มีส่วนร่วม น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนฟังชื่นชอบอินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ และเกิดการติดตาม” อนิลกล่าว
เสน่ห์ที่เป็นดาบสองคม
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์บางข้อก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน อนิลให้ความเห็นว่า การไม่อนุญาตให้บันทึกเสียงเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ข้อดีก็คือการพูดคุยของคนในห้องจะรู้สึกสบายใจกว่ามาก เพราะไม่ต้องกลัว ‘ถูกขุด’ หากพูดอะไรผิดไป แต่ข้อเสียในมุมของคนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์คือ ปกติหากมีการ Live บนเพจเฟซบุ๊กของเขา จะมีผู้ชมสดราว 300-400 คน แต่ผู้ชมย้อนหลังจะสูงกว่านั้นมาก ทำให้เขารู้สึกว่า การไม่มีบันทึกทำให้ "เสียโอกาส" ในการเข้าถึงผู้ชมหรือผู้ฟัง
นอกจากความเห็นของอนิล ก็ยังมีอีกหลายความเห็นบนทวิตเตอร์ หลังจากใช้งานคลับเฮ้าส์กันมาร่วมสัปดาห์ หลายคนเริ่มรู้สึก "เหนื่อย" กับการติดตามบทสนทนาสดที่ใช้เวลามาก และไม่สามารถเลือกเวลาฟังเองได้
ส่วนประเด็นการจำกัด Invite ความเห็นส่วนตัวของอนิลมองว่า ทำให้ฐานผู้ใช้แคบเกินไป แต่เข้าใจดีว่าหากไม่มีฟังก์ชันนี้ อาจทำให้ความรู้สึก "Privilege" หรือการได้สิทธิพิเศษของผู้ใช้ปัจจุบันหายไป และอาจจะถอยหนีจากการใช้แอพฯ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้แอพฯ สมดุลทั้งการขยายฐานและการคงความรู้สึกพิเศษไว้ได้ อาจเป็นคำถามสำคัญ
แผนของคลับเฮ้าส์: สร้างคนดังดึงเม็ดเงิน
จุดแข็งที่กล่าวถึงข้างต้นคือแผนตั้งแต่แรกก่อตั้งของคลับเฮ้าส์ในการดึงคนเข้ามา แอพพลิเคชันนี้ก่อตั้งโดย พอล เดวิดสัน (Paul Davidson) และโรฮัน เซธ (Rohan Seth) ในซิลิคอนแวลลีย์ สหรัฐอเมริกา ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2020 และยังรู้กันในวงจำกัดเพื่อพัฒนาแอพฯ ให้แข็งแรงก่อน โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2020 คลับเฮ้าส์ยังมีคนใช้งานแค่ 3,500 คน แต่ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดตัวเป็นวงกว้างเมื่อเดือนมกราคม 2021
เมื่อพิจารณาจากกูเกิลเทรนด์ คลับเฮ้าส์เริ่มเป็นที่พูดถึงในช่วงกลางเดือนมกราคมปีนี้ และพุ่งทะยานทันทีช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2021 เมื่ออีลอน มัสก์ และ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เข้ามาตั้งห้องสนทนา จนปัจจุบันคลับเฮ้าส์มีผู้ใช้งานประจำ 2 ล้านคนต่อวัน พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 6 ของแอพฯ ที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในหมวดโซเชียลเน็ตเวิร์กของแอปสโตร์
ล่าสุดคลับเฮ้าส์เพิ่งระดมทุนรอบซีรีส์ B ได้อีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทำให้บริษัทถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลายเป็นสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์น และการระดมทุนรอบนี้เอง จะทำให้คลับเฮ้าส์มีเงิน “ปั้นดาว” อย่างจริงจัง
แผนของผู้พัฒนาในการทำเงินจากคลับเฮ้าส์คือต้องการให้เกิด “ครีเอเตอร์คนดัง” บนแพลตฟอร์ม จากนั้นจะใช้ครีเอเตอร์เป็นผู้ทำเงิน ไม่ว่าจะเป็นระบบให้ทิป สมัครสมาชิก และขายตั๋วเข้าร่วมสนทนา คล้ายกับระบบจ่ายครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์มอื่น เช่น ยูทูบ หรือ ทวิตช์ (ปกติแอพฯ จะแบ่งรายได้กับครีเอเตอร์ 50:50 หรือโมเดลแบ่งรายได้อื่นตามตกลง) โดยทางคลับเฮ้าส์ให้ข้อมูลกับสำนักข่าว Techcrunch ว่า ระบบทำเงินอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ส่วนการระดมทุนรอบล่าสุดจะนำมาสร้าง Creator Grant Program คือโปรแกรมสนับสนุนเงินโดยตรงให้กับครีเอเตอร์ที่โดดเด่น เพื่อให้คนกลุ่มนี้สร้างคอนเทนต์เรื่อย ๆ บนแพลตฟอร์ม
อนาคตของคลับเฮ้าส์จะเติบโตยั่งยืนแบบ TikTok ในฐานะโซเชียลมีเดียสุดฮิตตัวใหม่ หรือถูกโซเชียลมีเดียเจ้าตลาด ‘ลอก’ ฟีเจอร์ไปจนผู้ใช้อพยพกลับแอพฯ เดิม เหมือนที่ Snapchat เคยถูก Instagram ตีแตกเมื่อ 3 ปีก่อน ต้องรอดูกันต่อไป!
ที่มาภาพเปิด : unsplash/@artcoastdesign
ที่มา :
บทความ Clubhouse announces plans for creator payments and raises new funding led by Andreessen Horowitz โดย Darrell Etherington จาก techcrunch.com
บทความ What is Clubhouse and why is the audio chat app so popular? จาก aljazeera.com
บทความ Elon Musk, Zuckerberg are helping Clubhouse break out from its exclusive beta โดย Erin Carson จาก cnet.com
บทความ How Clubhouse Used FOMO To Become the Hottest New Social Network โดย Fab Giovanetti จาก medium.com
เรื่อง : พัฐรัศมิ์ ว่องไชยกุล